เบื้องหลังคำโกหก - เบื้องหลังคำโกหก นิยาย เบื้องหลังคำโกหก : Dek-D.com - Writer

    เบื้องหลังคำโกหก

    แสงริบหรี่สุดท้ายนั่นก็อาจจะจากไปพร้อมกับแสงแรกของวันใหม่ของฉันหรือกลับมาในขณะที่แสงอาทิตย์ยามเย็นลับลาตรงขอบฟ้าตรงนั้น

    ผู้เข้าชมรวม

    125

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    125

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ก.ย. 65 / 11:33 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ใครจะคิดว่าโลกใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยคำโกหกรายล้อมรอบตัวเต็มไปหมด เรื่องราวโกหกที่ติดบนป้ายหาเสียงบนทางเท้า ป้ายหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวที่ประกาศให้คนทั้งโลกเห็นว่าร้านตัวเองอร่อยด้วยการเน้นตัวอักษรเข้ม ๆ แต่บทวิจารณ์ในเพจร้านกลับมีแต่เสียงติดลบ แม้แต่กระทั่งการโกหกให้คนที่เรารักสบายใจ หรือการโดนโกหกด้วยการเยินยอจนเกินจริง แต่มันแย่ตรงที่คุณกลับหลงเชื่อมันอย่างเต็มใจ …. เพียงเพราะบางครั้งมันเป็นสิ่งที่สบายใจที่สุดที่จะเลือกได้

    วันหนึ่งคุณกลับพบว่าคำโกหกกลับกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณในขณะที่ชีวิตด่ำดิ่งสู่ห้วงของความบัดซบ มันอาจจะเหมือนกระบวนการป้องกันตัวเองจากความล้มเหลวในชีวิต

    “ฉันมีความสุข” ฟังง่ายๆ อาจจะเหมือนคำให้กำลังใจตัวเอง เส้นกั้นระหว่างกัน มันคือการยินยอมให้ตัวเองโกหกตัวเองว่ากำลังมีความสุข จริงอยู่ที่การหลอกสมองด้วยจิตใจให้คิดว่าเรามีความสุขกับสิ่งนั้นจริงๆ มันอาจจะทำให้ช่วงหนึ่ง เราคิดว่าเรามีความสุข

    แต่มันก็คือการหลอกตัวเองไม่ใช่หรอกหรือ…

    ฉันหลอกตัวเอง หรือฉันหลอกใคร?


    “อ้าว วันนี้มาคนเดียวหรอ แฟนล่ะ” เสียงสดใสของคุณป้าร้านข้าวขาหมูเจ้าประจำทักขึ้น

    “อ้อ เขายังทำงานอยู่น่ะค่ะ วันนี้ หนูซื้อขึ้นไปให้เขาดีกว่า” รอยยิ้มที่แสร้งแสดงออกมาที่ใครดูก็ต้องรู้

    นี่ก็เป็นการโกหกเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องตอบคำถามที่ตามต่อมา หรือเลี่ยงที่จะต้องได้รับสีหน้า หรือแววตาอันน่าสมเพชที่ฉันเองก็สมเพชตัวเองมากพออยู่แล้ว

    จะให้ฉันตอบไปเลยไหม ว่า ฉันโดนแฟนทิ้ง ในวัย 33 ปี มันคงน่าหดหู่สินะ

    แฟนที่แพลนว่าจะแต่งงานกันปีหน้า

    แฟนที่คบกันมาเจ็ดปีเต็มๆ แต่บางครั้งฉันก็ต้องโทษอาถรรพ์เพื่อให้ฉันสบายใจขึ้น

    คนเรามีเหตุผลอันชอบธรรมให้กับคำโกหกนั่นทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่แค่ฉัน ตัวคุณก็รู้

    ฉันชื่อ ลดา เพิ่งอายุ 33 ปีเต็มเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันในวัย 33 ในปี 2019 แม่ฉันโทรมาอวยพรวันเกิดฉันว่า พ่อที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยโรคหลอดเลือดสมอง..ตาย และใช่ ฉันได้รับข่าวร้ายนั่นในวันเกิด แต่ฉันยังคงแต่งตัวไปทำงานได้เหมือนอย่างไม่แยแสอะไร 

    ฉันแต่งชุดสีดำสนิท ยืนข้างแม่ในขณะที่ต้องพยักหน้าตอบรับต่อคำพูดแสดงความเสียใจ ทุกคนต่างพูดว่าคุณพ่อเป็นคนดี ท่านจะต้องไปเจอที่ดีๆ แน่ๆ 

    คิดว่าฉันจะไม่รู้เหรอว่านั่นก็เป็นคำโกหกที่พูดเพียงเพื่อให้คนที่อยู่ไม่ต้องบอบช้ำไปมากกว่านี้ และยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ฉันจะไม่รู้ว่าพวกเขาบางคน ต่างเคยรับบทเป็นป้าข้างบ้านที่เฝ้าแต่จะจับผิด และคอยพูดจาไร้สาระนินทาบ้านคนอื่น หรือว่าสถานการณ์อันเศร้าโศกมันจะเผยความดี อันน้อยนิดของบางคนออกมาผ่านความเห็นใจ ตีหน้าเศร้า น้ำเสียงหดหู่นิดหน่อย บางคนก็มีน้ำตาอาบแก้ม อย่างนี้สินะ

     

    หลังจากงานศพของคุณพ่อผ่านไป วันนี้เป็นวันหยุดทั้งทีฉันอยากจะทำตัวเป็นคนโง่ที่นอนดูซีรี่ย์และกองขยะในห้อง แต่ฉันก็เหมือนเป็นคนโง่อยู่ทุกวัน เพราะฉันเพิ่งถูกไล่ออกจากงานเหมือนกัน ด้วยเหตุผลอะไร ….

    ห้องพักที่บนฝาผนังมีรูปวาดเต็มไปหมด ไม่บอกก็รู้ว่าฉันคงจะเป็นศิลปิน ไส้แห้ง  ไม่ก็คงจะวาดขำ ๆ ติดไว้ดูเล่น ขำ ๆ

    ข้าวขาหมู 2 กล่อง วางอยู่บนโต๊ะไม้ญี่ปุ่นที่ฉันจับฉลากของขวัญปีใหม่ได้ตอนวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ซีรี่ย์ที่ถูกเปิดอยู่ เพียงสร้างเสียงเพื่อกลบความเงียบในห้องหม่นนี้ กองขยะกองโตที่กองพะเนินอยู่หลังห้อง นี่ยังไม่นับรวมกองหนังสือหนาๆ ที่วางอย่างเกะกะตรงมุมห้องนั่น

    มันไม่ได้รกขนาดนั้นหรอก...นี่ฉันก็กำลังโกหกตัวเองอยู่

    คุณคิดว่าฉันจะยังมีความสุขอยู่ได้ไหมล่ะ พ่อตาย แฟนทิ้ง ถูกไล่ออกจากงาน ชีวิตคนหนึ่งมันจะบัดซบได้ในคราวเดียวกันขนาดนี้เลยหรอวะ!!

    จบไปหนึ่งวันกับการจมในกองความทุกข์ คุณว่าฉันควรจะเก็บขยะที่กองเน่าอยู่หลังห้องนั่นไหม?

    ใช่ ได้เวลาต้องจัดการมันละ!

    “วันนี้น้องอยู่ห้องคนเดียวหรอ” หญิงสาวข้างห้องปรากฏตัวตรงระเบียงอย่างปุบปับจนฉันสะดุ้งเฮือก

    “...”

    “โอ๊ะ พี่ขอโทษ เห็นน้องยืนนิ่ง เลยถามดู” หญิงสาวข้างนอกหัวเราะแก้เขินเบาๆ

    “อ่อ ไม่เป็นไร ค่ะ วันนี้อยู่คนเดียวน่ะค่ะ” ฉันเลี่ยงที่จะตอบถึงแฟนเก่าเส็งเคร็งของฉัน

    “พอดีพี่ได้หนังสือเล่มใหม่มา น้องน่าจะสนใจ” หญิงสาวพูดก่อนจะยื่นหนังสือเล่มหนาให้ลดา

    ลดารับมาก่อนทำหน้า งง ๆ ก่อนจะยิ้มขอบคุณไปและกลับมาง่วนกับการจัดการถุงขยะกองโตนั่น หญิงสาวข้างห้องก็ยืนมองดูลดา ชั่วครู่หนึ่งก็เดินกลับเข้าห้องไป

    “ฉันว่าพักหลัง ๆ มานี้ หนูลดาดูแปลกไปนะ” หญิงสาวข้างห้องพูดกับแฟนหนุ่มที่นั่งอยู่หลังประตูกระจกบานใส

    “ก็ปกติในวัยนี้แหละมั้ง” แฟนหนุ่มของหญิงสาวเหลือบมองเห็นลดากำลังง่วนทำอะไรสักอย่างอยู่หลังห้อง

    "คงงั้น เครียดแน่ ๆ เลย"


    นี่ก็สองเดือนแล้วที่แฟนของฉันทิ้งฉันไป อ้อ แฟนเก่าแล้วสินะ ฉันต้องทนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยความทรงจำนี้จริง ๆ เหรอ แต่ก่อนที่ฉันจะได้มีโอกาสจมกับความเศร้าโศกนี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

    ลดาค่อยๆ แง้มประตู .... แล้วฉันก็พบว่า ฉันมีเรื่องให้เครียดมากกว่าเรื่องแฟนทิ้งละ

    “อย่าลืมจ่ายค่าส่วนกลางของปีนี้ด้วยนะ หนูช้ามาสองเดือนแล้วนะ เห็นใจป้าด้วย ” เสียงป้าดูแลห้องดังลั่นจนฉันคิดว่าห้องข้างๆ คงจะได้ยินกันหมดแน่ๆ

    “ สิ้นเดือนนี้นะคะป้า หนูรอเงินเดือนออกแล้วจะรีบให้เลยค่ะ”

    ฉันทำได้แค่พ่นคำโกหกโง่ ๆ เพื่อให้ตัวเองผ่านเรื่องราวตรงนี้ไปได้

    ทุกคนมีเรื่องให้คนอื่นเห็นใจ ฉันก็เหมือนกัน!

    ลดาปิดประตูไปหลังจากที่ปล่อยให้ป้าคนดูแลยังยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะเคาะประตูอีก สองสามครั้ง เมื่อประตูไม่เปิด ป้าก็ทำได้แค่สอดซองจดหมายเข้ามาผ่านช่องประตู

    ฉันไม่รู้ว่าฉันคนเดิมคนที่มีไฟในการค้นหาชีวิต มันหล่นหายไปตอนไหนของกาลเวลา ฉันมารู้ตัวตอนที่รู้สึกว่า ฉันไม่ใช่คนเดิมคนนั้นอีกแล้ว ฉันเหนื่อยกับชีวิตตอนนี้เหลือเกิน บางวันฉันคิดว่า ถ้าฉันกระโดดลงไป มันจะจบไหม 

    แต่ก็คงจะไม่ ฉันคงต้องสร้างภาระให้คนแถวนี้อีกแน่นอนที่ต้องมาเห็น ศพเละ ๆ ของฉันตรงพื้นนั่น บางวันฉันก็นั่งคิดว่าพื้นด้านล่างนั่นมันจะแข็งหรือป่าว ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว พื้นคอนกรีตนั่นคงจะร้อนระอุมากแน่ ๆ ...

    เมื่อความคิดบ้าๆ เข้าครอบงำ ลดา ก็ได้รีบส่ายหน้า สูดหายใจเข้าให้ลึกที่สุด และพ่นมันออกมา เรียกสติ ... คิดว่าช่วยได้นะ

    ตอนนี้ถ้าฉันคิดว่าการที่ฉันมีความสุข ฉันจะมีความสุขหรือเปล่านะ!!

    งั้นลองดูเลยละกัน

    “วันนี้มาคนเดียวหรอ งั้นป้าฝากไปให้ละกัน ชอบแบบติดหนังเยอะๆ ใช่ไหมล่ะ” 

    ความรักที่หายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า

    “จดหมาย ถ้าไม่เปิดประตู งั้นป้าสอดไว้ละกัน” 

    การใช้ชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความหนักอึ้งของภาระในชีวิต

     

    แต่การมีความสุขมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ในเมื่อทุกอย่างมันยังวนเวียนรอบตัวเหมือนรอซ้ำเติมคุณอยู่ตลอด และความสุขจริง ๆ ของฉัน น่าจะหมายถึงการปลดปล่อยตัวเอง การหลุดพ้นจากช่วงชีวิตอันบัดซบนี่

     

    ไอลมตอนสี่โมงเย็นโชยกระทบใบหน้า แสงแดดสีส้มยามเย็นที่สัมผัสผิวหนังของฉัน นี่คือเวลาของฉันสินะ!


     

    ก๊อกๆ 

    “ลูก เปิดประตูให้แม่หน่อย” เอ่อ โอเค มันไม่ง่ายขนาดนั้นสินะ

    ฉันเดินไปเปิดประตูบานนั้น และ….

    “โอ๋ ลูก คิดถึงจังเลย ขอแม่กอดหน่อย” ฉันโผกอดแม่ในทันที แม่ฉันเอง กลิ่นของแม่มันชัดจนเรียกสติฉันกลับมาได้

    “คิดถึงเหมือนกันค่ะ” ฉันกอดแม่แน่นๆ อีกครั้ง

    “เครื่องบินเลทไปหลายชั่วโมงเลย อ้าว นี่จดหมายอะไรน่ะ” แม่ลดาหยิบจดหมายสีแดงที่วางอยู่ตรงพื้นห้อง

    “ป้าผู้ดูแลน่าจะเอามาสอดไว้น่ะค่ะ”

    ขอเรียนเชิญร่วมงานเลี้ยงคริสมาสต์ประจำปี 2021 นี่เผลอแปปเดียว จะหมดปีอีกแล้วนะ”

    “นั่นสิคะ หนูคั้นน้ำส้มไว้รอแม่น่ะค่ะ” ลดาส่งยิ้มก่อนจะส่งแก้วน้ำส้มแก้วโตให้แม่ของเธอ

    “แล้วหนังสือในกองนี้ ลูกอ่านมันหมดหรือยังล่ะ ปีหน้าจะสอบเข้ามหาลัยแล้วสินะ เลือกไว้รึยัง แต่แม่น่ะ อยากให้ลูกสอบติด หมอ วิศวะนะ ”

    “สานต่อความฝันของพ่อยังไงล่ะ” เสียงชายทุ้มใหญ่ดังขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้ามา

    "พ่อ.." ใช่ พ่อฉันเอง

    “ทำไมขึ้นมาช้าล่ะคุณ ไม่มีที่จอดรถหรอ” แม่ลดาพูดขึ้นขณะที่ช่วยเอากระเป๋าเดินทางใบโตของคุณพ่อเก็บตรงปลายเตียง

    “พอดีกะจะไปซื้อข้าวขาหมูสักหน่อย แต่เจ้าของร้านบอกว่าฝากมาให้กับลูกแล้ว”

    “อ๋อ ใช่ค่ะ วางอยู่ตรงนั้น”

    “โต๊ะญี่ปุ่นนี่เข้ากับห้องเลยนะ บอกแล้วว่าพ่อเลือกถูกใจลูกแน่ๆ ” ผู้เป็นพ่อ ยิ้มอ่อนๆ หลังจากมองโต๊ะไม้สีอ่อนแล้วหันมามองลดาด้วยรอยยิ้มของความภูมิใจเล็ก ๆ

    “เรื่องสอบเข้ามหาลัย...หนูขอสอบเข้าเรียนศิลปะได้ไหมคะ” ลดาพูดขึ้นมาหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบกัดกินในห้อง

    “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ พ่อคิดว่าเราไม่ต้องคุยเรื่องนี้กันซ้ำสองนะ แกมีหน้าที่เรียนตามที่ฉันสั่ง แล้วมันก็ดีกับตัวแกทั้งนั้นแกคิดว่ามีพ่อแม่ที่ไหนไม่อยากให้ลูกประสบความสำเร็จรึไง” เสียงของพ่อเริ่มเข้มขึ้น หงุดหงิดขึ้นอีกแล้ว 

    “โถ่ พ่อใจเย็น ๆ ลูกแค่พูดแหละ แกไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม ลดา” แม่ลดาเดินเข้าไปลูบแขนพ่อและมองมายังลดาอย่างเลี่ยงไม่ได้

    “ค่ะ”

    เสียงเงียบในห้องก็ค่อย ๆ กลับมากัดกินบรรยากาศรอบตัวฉันอีกครั้ง ความอึดอัดเข้ามาแทนที่ ความมืดค่อย ๆ คืบคลานอย่างเชื่องช้า ไอลมที่ลอดผ่านเข้ามาทางขอบหน้าต่างพัดไหลสัมผัสต้นคอฉันอย่างบางเบา


    ฉันปล่อยให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ห้องเงียบ ๆ และความล้มเหลวในวัย 33 มองดูภาพเขียนสีน้ำที่ติดอยู่ตามฝาผนัง ข้าวขาหมูเจ้าอร่อยที่แฟนฉันบอก โดนทวงค่าห้อง โดนเจ้านายไล่ออกด้วยเหตุผลแปลก ๆ อย่างฉันไม่ช่วยรดน้ำต้นไม้และให้อาหารปลาทอง.. เป็นไงล่ะ เหตุผลนี้เป็นใครก็ต้องอึ้ง

     วัย 33 ที่พรากความสุขของฉัน

    หรือจริงๆ ฉันควรจะต้องเริ่มอ่านหนังสือสอบที่พี่สาวข้างบ้านให้ฉันมาแล้วปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามความฝันของพ่อและแม่ ไปงานเลี้ยงคริสต์มาสในวันศุกร์นี้ เป็นเด็ก 18 ที่พร้อมจะสดใสแม้ในวันที่โลกดำมืด

     

    ฉันควรจะอยู่ตรงไหน?


    แต่ก่อนที่ฉันจะคิดอะไรได้ไปมากกว่านี้ ฉันก็พบว่าฉันกำลังยืนอยู่ริมระเบียงนี้อีกครั้ง เสียงลมที่ลอดผ่านเส้นผมของฉัน แสงแดดตอนเช้าที่บอกว่านี่คือการเริ่มต้นใหม่ มวลหมู่นกที่ขยับปีกบินลัดขอบฟ้าไป การปลดปล่อยตัวเอง

    ฉันค่อย ๆ จับราวระเบียงจนแน่นราวกับว่าฉันเชื่อใจมัน และพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน

    นับ หนึ่ง สอง สาม สี่

    ขาที่เหยียบขึ้นไปทีละข้าง

    ห้า หก เจ็ด

    ขาซ้ายที่เหยียบก่อน

    แปด เก้า

    ขาขวาที่ก้าวตาม

    และ สิบ

    .

    .

    จุดสูงสุดของวันนี้ คุณคิดว่าฉันจะกระโด..


    “น้องลดา รดน้ำต้นไม้แต่เช้าเลยนะ คุณแม่มาแล้วใช่ไหมจ๊ะ วันก่อนหนังสือที่ไปให้เป็นไงบ้าง” พี่สาวข้างห้องทักลดาด้วยเสียงสดใส

    “อ่อ...ค่ะ สรุปของพี่ช่วยได้เยอะเลยค่ะ คุณแม่ทำกับข้าวอยู่ด้านในค่ะ ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

    "ช่วงนี้ดูเหนื่อยๆ นะ นอนพักเยอะล่ะ ...."

    แสงอาทิตย์ตอนเย็นสาดแสงสีส้มเข้ามากระทบฝาผนังหลังห้อง เงาพุ่มไม้ที่เคลื่อนเบา ๆ สะท้อนแสงยามเย็น เสียงฝูงนกกระพือปีกกลับรัง..


    และ….

    คุณคิดว่าฉันจะกระโดดลงไปหรือเปล่าล่ะ?

    ฉันกระโดด!

    ความว่างเปล่ามาแทนที่ความเจ็บปวด ฉันก็ได้ค้นพบว่า ความเจ็บปวดที่เจอตอนนี้มันดูเบาบางกว่าความเจ็บปวดที่กัดกินใจ พื้นมันไม่ได้แข็งขนาดนั้นสินะ และพื้นคอนกรีตนี่ก็ไม่ได้ร้อนระอุขนาดนั้น รอบข้างพลันมืดสนิท นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะ ...

    “กรี๊ดดด!!!!!”

    "เรียกรถพยาบาล มีคนกระโดดตึก"

    เสียงของผู้คนที่วิ่งตอนเช้ากรี๊ดดังสนั่น แค่นี้ก็รู้แล้วว่าฉันทำมันลงไปจริงๆ

     

    ก่อนที่ฉันจะปล่อยให้ความว่างเปล่ามากลืนกิน แสงอาทิตย์ยามเช้าอันริบหรี่ค่อย ๆ จางหลืบไป


    “ลดาลูก มากินข้าวเย็นได้แล้ว เดี๋ยวต้องอ่านหนังสือต่อนะ” เสียงของแม่ลดาตะโกนดังออกมาจากในครัว

    “ค่ะ แม่ ….มาทานด้วยกันไหมคะ” ฉันตอบรับก่อนชวนพี่สาวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร และจะรีบเดินเข้าห้องไป


    แสงริบหรี่สุดท้ายนั่นก็อาจจะจากไปพร้อมกับแสงแรกของวันใหม่ของฉันหรือกลับมาในขณะที่แสงอาทิตย์ยามเย็นลับลาตรงขอบฟ้าตรงนั้น

    การโกหกที่ดีที่สุดคือการโกหกแม้กระทั่งตัวเอง และการโกหกจะสมบูรณ์แบบ คือต้องเชื่อว่าสิ่งที่โกหกนั่นเป็นเรื่องจริง คุณคิดว่าฉันเป็นใครล่ะ

    ลดาในวัย 33 ปี ที่ล้มเหลวในชีวิต สูญเสียความมั่นใจ คนที่นอนจมกองเลือดที่เอ่อนองและเศษสมองที่กระจายบนพื้นด้านล่างนั่น

    หรือ ลดา เด็กสาววันสดใสที่เดินเข้าสู่หุบเหวการตีกรอบความฝันและชีวิต 

     

    ไม่ว่าลดาคนไหน ก็ยังคงเจอกับความว่างเปล่าอยู่ดีใช่ไหมล่ะ

    แต่ถึงแม้คุณจะคิดว่าฉันเป็น ลดา คนไหน ฉันก็ยังไม่อยากจะเป็น ลดา อยู่ดี.

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×